เปิด 10 คำศัพท์พบบ่อยในบทวิเคราะห์หุ้นเป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนมือใหม่จะรู้สึกกลัวเมื่อต้องอ่าน "บทวิเคราะห์หุ้น" เพราะเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคย ทำให้บางทีก็ตีความหมายไม่ออก และเกิดข้อสงสัยว่าบทวิเคราะห์หมายความว่าอย่างไรกันแน่???เป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนมือใหม่จะรู้สึกกลัวเมื่อต้องอ่าน "บทวิเคราะห์หุ้น" เพราะเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคย ทำให้บางทีก็ตีความหมายไม่ออก และเกิดข้อสงสัยว่าบทวิเคราะห์หมายความว่าอย่างไรกันแน่???
เพื่อให้ทุกคนอ่านบทวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมั่นใจ วันนี้ FinSpace จะมาช่วยแปลคำศัพท์ยากๆ ให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถเปิดบทวิเคราะห์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวบรวมไว้ แล้วอ่านไปพร้อมๆ กันได้ที่
คลิกที่นี่...1. Outperform Marketคือ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวมเช่น ประเมินว่าสิ้นปี SET Index ปรับขึ้น 5% แต่หุ้นตัวนี้คาดว่าจะเติบโต 15% ถือว่าเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ให้ความสนใจ
2. Underperform Marketคือ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างอ่อนแอ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งอาจจะมาจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่เป็นช่วงขาลง หรือราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยลบทั้งหมด
3. Overweightแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้น เมื่อเทียบกับน้ำหนักลงทุนปกติ นั่นคือเราสามารถขายสินทรัพย์อื่นในพอร์ต หรือนำเงินลงทุนก้อนใหม่มาซื้อหุ้นดังกล่าวเพิ่มได้ เพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่าแนวโน้มของราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
4. Underweightแนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้น เมื่อเทียบกับน้ำหนักลงทุนปกติ นั่นคือเราสามารถขายหุ้นบางส่วนในพอร์ตออกไป แล้วนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีโอกาสเติบโตมากกว่า
5. Neutralแนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้นไว้เช่นเดิม เพราะประเมินว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกลุ่ม หรือ อัตราผลตอบแทนโดยรวม
6. Target Price หรือ Fair valueคือ ราคาเป้าหมาย หรือราคาเหมาะสมของหุ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบ, กระแสเงินสด, อัตราส่วนการเงิน, แนวโน้มธุรกิจในอนาคต
หากราคาเป้าหมายสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าลงทุน แต่หากหากราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ก็แปลได้ว่าหุ้นอาจจะแพงเกินไปจนไม่น่าลงทุน
7. Trading buyแนะนำให้ซื้อเก็งกำไร ซึ่งมักเกิดกับหุ้นที่ราคาปัจจุบันใกล้เคียงกับราคาพื้นฐาน ซึ่งมีข่าวดีที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งต่อไปได้ในระยะสั้น แต่อาจจะไม่สามารถยืนราคาได้ในระยะยาว
8. Accumulative Buyแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นสะสม เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังดี แต่อาจจะมีปัจจัยลบมากดดันในระยะสั้น จึงเหมาะที่จะซื้อสะสมในระยะยาว แล้วรอเวลาให้หุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
9. Laggardหมายถึง หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นช้าหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่มีความแตกต่างกัน
10. Turnaroundหมายถึง หุ้นที่เคยมีผลประกอบการขาดทุน จนราคาปรับตัวลดลงในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลานาน แล้วสามารถกลับมามีกำไรอีกครั้ง จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้บทวิเคราะห์จะดูเป็นยาขมของมือใหม่ แต่หากเราเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้แล้ว ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนได้มากทีเดียว
ที่มา
https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/222-investhow-10words-research