ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

มีนาคม 29, 2024, 04:02:55 PM

Login with username, password and session length

Ads PAT

P&T Hosting Co., Ltd. :: บริการ | จดโดเมนเนม | เว็บโฮสติ้ง | VPS | Co-location |

บทความ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิด 10 คำศัพท์พบบ่อยในบทวิเคราะห์หุ้น  (อ่าน 451 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Pribung

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 69
  • ความนิยม: +0/-0
    • ดูรายละเอียด
เปิด 10 คำศัพท์พบบ่อยในบทวิเคราะห์หุ้น
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2022, 10:56:00 AM »
เปิด 10 คำศัพท์พบบ่อยในบทวิเคราะห์หุ้น

เป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนมือใหม่จะรู้สึกกลัวเมื่อต้องอ่าน "บทวิเคราะห์หุ้น" เพราะเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคย ทำให้บางทีก็ตีความหมายไม่ออก และเกิดข้อสงสัยว่าบทวิเคราะห์หมายความว่าอย่างไรกันแน่???



เป็นเรื่องธรรมดาที่นักลงทุนมือใหม่จะรู้สึกกลัวเมื่อต้องอ่าน "บทวิเคราะห์หุ้น" เพราะเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคย ทำให้บางทีก็ตีความหมายไม่ออก และเกิดข้อสงสัยว่าบทวิเคราะห์หมายความว่าอย่างไรกันแน่???

เพื่อให้ทุกคนอ่านบทวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมั่นใจ วันนี้ FinSpace จะมาช่วยแปลคำศัพท์ยากๆ ให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถเปิดบทวิเคราะห์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวบรวมไว้ แล้วอ่านไปพร้อมๆ กันได้ที่ คลิกที่นี่...

1. Outperform Market
คือ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวมเช่น ประเมินว่าสิ้นปี SET Index ปรับขึ้น 5% แต่หุ้นตัวนี้คาดว่าจะเติบโต 15% ถือว่าเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ให้ความสนใจ

2. Underperform Market
คือ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างอ่อนแอ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนแย่กว่าตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งอาจจะมาจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่เป็นช่วงขาลง หรือราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยลบทั้งหมด

3. Overweight
แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้น เมื่อเทียบกับน้ำหนักลงทุนปกติ นั่นคือเราสามารถขายสินทรัพย์อื่นในพอร์ต หรือนำเงินลงทุนก้อนใหม่มาซื้อหุ้นดังกล่าวเพิ่มได้ เพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่าแนวโน้มของราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง

4. Underweight
แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้น เมื่อเทียบกับน้ำหนักลงทุนปกติ นั่นคือเราสามารถขายหุ้นบางส่วนในพอร์ตออกไป แล้วนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีโอกาสเติบโตมากกว่า

5. Neutral
แนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้นไว้เช่นเดิม เพราะประเมินว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกลุ่ม หรือ อัตราผลตอบแทนโดยรวม

6. Target Price หรือ Fair value
คือ ราคาเป้าหมาย หรือราคาเหมาะสมของหุ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบ, กระแสเงินสด, อัตราส่วนการเงิน, แนวโน้มธุรกิจในอนาคต

หากราคาเป้าหมายสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าลงทุน แต่หากหากราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ก็แปลได้ว่าหุ้นอาจจะแพงเกินไปจนไม่น่าลงทุน

7. Trading buy
แนะนำให้ซื้อเก็งกำไร ซึ่งมักเกิดกับหุ้นที่ราคาปัจจุบันใกล้เคียงกับราคาพื้นฐาน ซึ่งมีข่าวดีที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งต่อไปได้ในระยะสั้น แต่อาจจะไม่สามารถยืนราคาได้ในระยะยาว

8. Accumulative Buy
แนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นสะสม เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังดี แต่อาจจะมีปัจจัยลบมากดดันในระยะสั้น จึงเหมาะที่จะซื้อสะสมในระยะยาว แล้วรอเวลาให้หุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง

9. Laggard
หมายถึง หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นช้าหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่มีความแตกต่างกัน

10. Turnaround
หมายถึง หุ้นที่เคยมีผลประกอบการขาดทุน จนราคาปรับตัวลดลงในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลานาน แล้วสามารถกลับมามีกำไรอีกครั้ง จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้บทวิเคราะห์จะดูเป็นยาขมของมือใหม่ แต่หากเราเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้แล้ว ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนได้มากทีเดียว

ที่มา
https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/222-investhow-10words-research